
อาหารลดแพ้ท้องสำหรับคุณแม่ อาหารคนแพ้ท้องที่คุณแม่ควรกิน
รวมบทความอาหารสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1-3
บทความ
ต.ค. 28, 2025
11นาที
คำถามที่พบบ่อย
อาการแพ้ท้องจะหายไปเมื่อไหร่?
อาการแพ้ท้องส่วนใหญ่มักจะเริ่มดีขึ้นและหายไปเองในช่วงสัปดาห์ที่ 12-14 ของการตั้งครรภ์ หรือช่วงสิ้นสุดไตรมาสแรก แต่ก็มีคุณแม่บางส่วนที่อาจมีอาการยาวนานกว่านั้น หากอาการยังคงรุนแรงหลังจากไตรมาสแรก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจเป็นไปได้
แพ้ท้องแทนภรรยา (Couvade Syndrome) มีจริงหรือไม่?
อาการแพ้ท้องแทนภรรยา หรือ Couvade Syndrome นั้นมีอยู่จริง เป็นภาวะที่ว่าที่คุณพ่อมีอาการคล้ายคนท้อง เช่น คลื่นไส้ หรือรู้สึกไม่สบายตัว
สาเหตุยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจาก การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และ ความวิตกกังวล ทางจิตใจ เมื่อรู้ว่ากำลังจะมีลูก อาการเหล่านี้จะหายไปเองหลังภรรยาคลอดลูก แต่ถ้าอาการที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
อาการแพ้ท้องเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่?
อาการแพ้ท้องในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางมักไม่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ แต่จะกลายเป็นปัญหาหากคุณแม่ไม่สามารถทานอาหารหรือดื่มน้ำได้จนเกิดภาวะขาดน้ำและน้ำหนักลด หากอาการแพ้ท้องรุนแรงและไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีอาจทำให้คุณแม่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลต่อน้ำหนักแรกเกิดของลูกได้
สรุป
- อาการแพ้ท้อง (Morning Sickness) เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ต้องเจอ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง หรือความเครียดทางจิตใจ แม้จะเป็นอาการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คุณแม่สามารถรับมือและบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้
- อาการแพ้ท้องมักเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ รวมถึงการที่ประสาทสัมผัสไวต่อกลิ่น และ อารมณ์หงุดหงิดง่าย
- อาการแพ้ท้องมักจะเริ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 4-6 และจะค่อย ๆ บรรเทาลงเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 12-14 แต่ก็มีคุณแม่บางท่านที่อาจมีอาการแพ้ท้องต่อเนื่องไปจนกระทั่งคลอดเลยก็เป็นได้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- อาการแพ้ท้องคืออะไร? เกิดจากอะไร และเริ่มตอนไหน?
- เช็กลิสต์อาการแพ้ท้อง สัญญาณจากร่างกายที่คุณแม่ควรสังเกต
- อาการแพ้ท้องรุนแรงแบบไหน ที่ต้องไปพบคุณหมอทันที
- แพ้ท้องกินอะไรดี? แนะนำอาหารและเครื่องดื่มช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง
- แนะนำ 21 อาหารบรรเทาอาการแพ้ท้องและคลื่นไส้
- อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีอาการแพ้ท้อง
อาการแพ้ท้องคืออะไร? เกิดจากอะไร และเริ่มตอนไหน?
อาการแพ้ท้อง (Morning Sickness) เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ต้องเผชิญ อย่าเพิ่งกังวลไปนะคะ เพราะอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงว่าร่างกายกำลังปรับตัวเพื่อสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย
อาการแพ้ท้องไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น แต่สามารถเกิดได้ตลอดทั้งวันเลยค่ะ คุณแม่มักจะเริ่มมีอาการในช่วงสัปดาห์ที่ 4-6 และอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 12-14 แต่อาการแพ้ท้องก็สามารถเกิดขึ้นได้จนกระทั่งคลอดเลยเช่นกันค่ะ
อาการแพ้ท้องเกิดขึ้นจากอะไร?
แม้จะยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่ทางการแพทย์คาดว่าอาการแพ้ท้องอาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ในช่วงตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะฮอร์โมนจากรกและฮอร์โมนจากทารกในครรภ์ ซึ่งส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนได้
- สภาวะทางจิตใจ: ความเครียดหรือความกังวลจากการตั้งครรภ์ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องได้
- สัญชาตญาณ: อาการแพ้ท้องอาจเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการปกป้องทารกในครรภ์ ทำให้คุณแม่รู้สึกเหม็นหรือไม่อยากอาหารบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อย
เราเข้าใจว่าอาการแพ้ท้องอาจทำให้คุณแม่รู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัว แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าร่างกายของคุณแม่กำลังทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อดูแลลูกน้อยในครรภ์ มาดูแลตัวเองและเตรียมพร้อมสำหรับทุกการเปลี่ยนแปลงด้วยกันนะคะ
เช็กลิสต์อาการแพ้ท้อง สัญญาณจากร่างกายที่คุณแม่ควรสังเกต
อาการคนแพ้ท้องที่มักเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์มักเป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยค่ะ หากคุณแม่กำลังมีอาการดังต่อไปนี้ ก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะนี่คือสัญญาณที่ร่างกายกำลังปรับตัวเพื่อลูกน้อยในครรภ์
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน และเวียนศีรษะ: อาจเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด จนบางครั้งทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สบายตัว
- อ่อนเพลีย และหน้ามืด: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ และอาจมีอาการหน้ามืดได้ง่าย
- อาการผิดปกติที่เกิดจากระบบทางเดินอาหาร: เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เรอเปรี้ยว หรือ จุกแน่นลิ้นปี่ เป็นอาการที่เกิดจากระบบย่อยอาหารที่ทำงานช้าลง
- ประสาทสัมผัสที่ไวขึ้น: คุณแม่บางท่านอาจรู้สึก ไวต่อกลิ่น ต่าง ๆ เป็นพิเศษ จนอาจทำให้รู้สึกเหม็นได้ง่าย
- อารมณ์และร่างกาย: นอกจากอาการทางกายแล้ว อาการแพ้ท้องยังส่งผลต่ออารมณ์ได้ด้วย ทำให้คุณแม่อาจรู้สึก หงุดหงิดง่าย หรือ ปวดหัว ได้
เข้าใจดีว่าอาการเหล่านี้อาจสร้างความไม่สบายใจได้ แต่ขอให้คุณแม่ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด และอย่าลืมปรึกษาคุณหมอหากมีข้อสงสัยหรือมีอาการแพ้ท้องที่รุนแรงนะคะ
อาการแพ้ท้องรุนแรงแบบไหน ที่ต้องไปพบคุณหมอทันที
โดยปกติแล้วอาการแพ้ท้องไม่ได้เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่ก็มีบางกรณีที่คุณแม่ควรไปพบคุณหมอโดยเร็วที่สุดเพื่อตรวจเช็กอาการอย่างใกล้ชิด เพราะหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องที่เข้าข่าย “แพ้ท้องรุนแรง” หรือที่เรียกว่า Hyperemesis Gravidarum (HG) ซึ่งจะทำให้คุณแม่มีอาการคลื่นไส้รุนแรงและเป็นนานกว่าปกติ ทำให้คุณแม่ขาดน้ำ (Dehydration) และเสียสมดุลเกลือแร่ (Electrolyte Imbalance) ได้ค่ะ จึงแนะนำให้รีบไปพบคุณหมอทันทีเพื่อให้ได้รับการดูรักษาอย่างทันท่วงที โดยคุณแม่สามารถสังเกตพฤติกรรมของตัวเองเบื้องต้นได้จากอาการเหล่านี้
- ดื่มน้ำไม่ได้เลย อาเจียนทุกอย่างที่กินหรือดื่มเข้าไป
- อ่อนเพลีย หรือ หน้ามืดเป็นลม อย่างหนัก
- น้ำหนักลดลง อย่างรวดเร็ว
มารู้จักฮอร์โมนที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้องรุนแรง
จากการศึกษาล่าสุดพบว่าอาการแพ้ท้องรุนแรงมีความเชื่อมโยงกับฮอร์ที่ทารกในครรภ์สร้างขึ้น เป็นโปรตีนที่ชื่อว่า GDF15 (Growth Differentiation Factor 15) ค่ะ
GDF15 ฮอร์โมนตัวการที่ทำให้แพ้ท้อง
- สาเหตุ: เชื่อว่าฮอร์โมน GDF15 อาจเป็นตัวส่งสัญญาณจากรกไปสู่สมองของแม่เพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียน
- ความรุนแรง: คุณแม่ที่มีระดับ GDF15 สูงมากและมีความไวต่อฮอร์โมนนี้ จะมีโอกาสแพ้ท้องอย่างรุนแรงมากกว่า
ประสบการณ์จากคุณแม่ เมื่อการแพ้ท้องไม่ใช่แค่เรื่องปกติ
จากข้อมูลของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ของสหราชอาณาจักร คาดว่าภาวะแพ้ท้องรุนแรง หรือ Hyperemesis Gravidarum (HG) ได้ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ประมาณ 1-3 รายในทุก ๆ 100 ราย ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงกว่าอาการแพ้ท้องทั่วไปและอาจคงอยู่ได้ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ 9 เดือน
จากบทสัมภาษณ์ของ BBC News กรณีของคุณแม่รายหนึ่งในประเทศแคนาดา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของภาวะนี้ เธอเริ่มมีอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรงและอาเจียนไม่หยุด แม้กระทั่งกลิ่นอาหารก็สามารถกระตุ้นให้อาการแย่ลงได้ อาการคุณแม่รายนี้รุนแรงจนเธอเริ่มกลัวที่จะดื่มน้ำ เพราะกลัวว่าจะอาเจียนไม่หยุด
- การแพ้ท้องทั่วไป: มักจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ (ประมาณสัปดาห์ที่ 6 ถึงสัปดาห์ที่ 14) และสัมพันธ์กับ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น hCG (human chorionic gonadotropin) และ เอสโตรเจน
- ภาวะแพ้ท้องรุนแรง (HG): อาการจะรุนแรงกว่าและอาจเกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ 39 สัปดาห์ ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำและขาดสารอาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด
อาการแพ้ท้องรุนแรงไม่ใช่เรื่องปกติและไม่ควรละเลย เพราะร่างกายของคุณแม่อาจขาดน้ำและสารอาหารที่จำเป็น ขอให้คุณแม่ดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด หากมีอาการที่น่ากังวล ขอให้รีบปรึกษาคุณหมอทันทีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมนะคะ

แพ้ท้องกินอะไรดี? แนะนำอาหารและเครื่องดื่มช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง
ในช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการเลือกอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของตัวเองและลูกน้อยเป็นพิเศษค่ะ การเลือกทานอาหารที่ถูกต้องจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องที่ทำให้ไม่สบายตัวได้
การเลือกทานอาหารที่มี โปรตีนสูง ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และ ผลไม้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ เพื่อลดอาการแพ้ท้อง ขอแนะนำให้คุณแม่ลองทานอาหารเหล่านี้
- อาหารรสชาติเบา ๆ: ลองทานอาหารรสจืด ๆ เช่น แครกเกอร์ ขนมปังปิ้ง อาหารเหล่านี้จะช่วยรองท้องและลดอาการคลื่นไส้ได้ดี
- ผลไม้และผักที่มีน้ำเยอะ: แตงโม ขึ้นฉ่าย และ พริกหวาน มีส่วนประกอบของน้ำสูง ซึ่งช่วยให้ร่างกายสดชื่น และผลไม้รสเปรี้ยวอย่าง ส้ม ก็อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้เช่นกัน
- เครื่องดื่ม: การจิบ น้ำเปล่า หรือ ชาสมุนไพร อุ่น ๆ ตลอดวันจะช่วยลดอาการขาดน้ำได้ แต่ควรระวังปริมาณคาเฟอีนในชาด้วยนะคะ (เครื่องดื่มชาสามารถปรึกษาคุณหมอที่ดูแลครรภ์คุณแม่เพิ่มเติม ว่าสามารถดื่มชาอะไรได้บ้าง)
- สมูทตี้และโยเกิร์ต: สมูทตี้ผลไม้ หรือ โยเกิร์ต เป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะย่อยง่ายและให้สารอาหารที่จำเป็น
ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปหรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้อาการแพ้ท้องแย่ลงได้ค่ะ ขอให้คุณแม่เลือกอาหารที่มีประโยชน์และทานให้สม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ
แนะนำ 21 อาหารบรรเทาอาการแพ้ท้องและคลื่นไส้
หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องคลื่นไส้อาเจียน ลองเลือกทานอาหารเหล่านี้ดูนะคะ เพราะนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการไม่สบายตัวแล้ว ยังช่วยบำรุงสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ด้วยค่ะ
1. แครกเกอร์และขนมปังรสเค็ม
ลองวางกล่องแครกเกอร์ไว้ข้างเตียง แล้วทานทันทีที่ตื่นนอนตอนเช้า เพราะการปล่อยให้ท้องว่างอาจทำให้อาการคลื่นไส้แย่ลงได้ค่ะ
2. เลมอน
กลิ่นและรสชาติเปรี้ยวสดชื่นของเลมอนช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ ลองดมกลิ่นเลมอน ฝานบาง ๆ หรือผสมน้ำเลมอนในน้ำดื่ม การวิจัยพบว่ากลิ่นเลมอนช่วยลดอาการคลื่นไส้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. ขิง
ขิงเป็นสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ การวิจัยพบว่าขิงมีประสิทธิภาพสูงในการลดอาการแพ้ท้อง ลองดื่มชาน้ำขิง น้ำขิงผสมโซดา ลูกอมขิง หรือขนมขิงก็ช่วยได้นะคะ
4. อาหารเย็น ๆ
อาหารอุณหภูมิห้องหรืออาหารร้อนมักมีกลิ่นแรงกว่า ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ง่ายกว่า ลองเลือกทานอาหารเย็น ๆ เช่น โยเกิร์ต ผลไม้แช่เย็น ไอศกรีม หรือซอร์เบท
5. อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง
มีงานวิจัยที่ชี้ว่าวิตามินบี 6 ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ พบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อหมู, เนื้อไก่, ปลา, กล้วย, มันฝรั่ง และถั่ว (หากต้องการทานในรูปแบบอาหารเสริม ควรปรึกษาคุณหมอก่อนนะคะ)
6. อาหารที่มีโปรตีนสูง
อาหารอย่างเนื้อสัตว์ปีก, ปลา, เนื้อวัว และไข่ ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และเพิ่มพลังงานให้คุณแม่ได้ การวิจัยเชื่อว่าโปรตีนช่วยเพิ่มฮอร์โมนแกสตริน (Gastrin) ซึ่งลดอาการแพ้ท้องได้ (หากทานเนื้อสัตว์ไม่ลง ลองเลือกแหล่งโปรตีนอื่น ๆ เช่น ถั่ว หรือกรีกโยเกิร์ต)
7. กล้วย
เป็นผลไม้ที่ย่อยง่าย อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 และโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยเพิ่มพลังงานและบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ดี
8.มันฝรั่งทอด
อาหารเหล่านี้มีรสชาติจืด ๆ เค็ม ๆ และย่อยง่าย จึงช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดี
9.ขนมปังปิ้ง
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอย่างขนมปังปิ้ง ข้าว หรือมันฝรั่ง มีรสชาติไม่จัดและช่วยดูดซับกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกสบายท้องขึ้น
10. ซีเรียล
ควรเลือกซีเรียลชนิดที่ไม่หวานมาก เพราะไม่มีกลิ่นฉุนและรสชาติจัดจ้าน แถมยังอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกด้วย
11. แอปเปิ้ลซอส
ย่อยง่ายและช่วยเพิ่มแคลอรีที่จำเป็นได้ดี หากคุณแม่รู้สึกไม่สบายท้องหรืออาเจียน ลองทานแอปเปิ้ลซอสไม่หวานดูนะคะ
12. เปปเปอร์มินต์
กลิ่นและรสของเปปเปอร์มินต์ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ดี ลองจิบชาเปปเปอร์มินต์อุ่น ๆ หรือพกลูกอมเปปเปอร์มินต์ติดตัวไว้
13. ชาสมุนไพร
การดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาเปปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมมายล์จะช่วยเติมน้ำให้ร่างกายและลดอาการคลื่นไส้ได้ดี แต่ต้องระวังปริมาณคาเฟอีนในชาด้วยนะคะ ดังนั้น ควรปรึกษาคุณหมอที่ดูแลครรภ์ว่าสามารถดื่มชาอะไรได้บ้างจะปลอดภัยที่สุดค่ะ
14. น้ำซุป
น้ำซุปอุ่น ๆ ดื่มง่าย และยังมีเกลือแร่ (Electrolytes) ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำจากการอาเจียนได้ดี
15. แตงโม
แตงโมมีปริมาณน้ำสูง ช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดี
16. น้ำมะพร้าว
เป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่มีเกลือแร่สำคัญอย่างโพแทสเซียม (Potassium) และแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ร่างกายและอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหารที่บอบบาง
18. บีทรูทคั้น
น้ำบีทรูทคั้นช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานให้ร่างกาย ทำให้คุณแม่ไม่รู้สึกอ่อนเพลียง่าย และมีพลังงานมากขึ้นค่ะ
19. ข้าวสวย
ข้าวสวยหุงสุกเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและรสชาติไม่จัด ทำให้คุณแม่รู้สึกอิ่มท้องโดยที่ไม่รู้สึกหนักจนเกินไป
20. โยเกิร์ต
โยเกิร์ตอุดมไปด้วยโปรตีนและโพรไบโอติก (Probiotics) ซึ่งช่วยปรับสมดุลในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ดีเลยค่ะ
21. ข้าวโอ๊ต
กินข้าวโอ๊ตอุ่น ๆ ยามเช้าช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ดีเยี่ยม เพราะมีใยอาหาร ธาตุเหล็ก และวิตามินบี ซึ่งจำเป็นต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ อีกทั้งยังทำง่ายและทานง่าย จะเพิ่มกล้วยบดหรือแอปเปิ้ลซอสลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติก็ได้นะคะ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีอาการแพ้ท้อง
ในขณะที่อาหารบางอย่างช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ แต่ก็มีบางอย่างที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันค่ะ เพื่อลดอาการไม่สบายตัว ลองสังเกตและหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ดูนะคะ
- อาหารมันเยิ้มและของทอด: อาหารประเภทนี้ย่อยยาก ทำให้ท้องอืดและไม่สบายท้องมากขึ้น
- อาหารรสจัดและเผ็ด: อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และกระตุ้นให้อาการคลื่นไส้รุนแรงขึ้น
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน: นอกจากจะทำให้ร่างกายขาดน้ำแล้ว คาเฟอีนยังอาจทำให้อาการแพ้ท้องแย่ลง
- อาหารที่มีกลิ่นแรง: เช่น กระเทียมหรือหัวหอม กลิ่นที่ฉุนเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ง่าย
- การปล่อยให้ท้องว่าง: ควรกินอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อย ๆ ตลอดวันแทนที่จะปล่อยให้ท้องว่างนาน ๆ เพราะท้องที่ว่างเปล่าจะยิ่งทำให้อาการคลื่นไส้รุนแรงขึ้นค่ะ
ร่างกายของคุณแม่แต่ละคนไม่เหมือนกัน ลองสังเกตดูว่าอาหารชนิดไหนที่ทำให้อาการแพ้ท้องแย่ลง เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงได้อย่างถูกจุดนะคะ
แม้ว่าอาการแพ้ท้องจะเป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และโดยทั่วไปแล้วไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่คุณแม่ก็ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดค่ะ หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องรุนแรง เช่น ทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้เลย อาเจียนออกมาทุกอย่าง หรือ รู้สึกอ่อนเพลียอย่างหนัก ควรรีบไปพบคุณหมอทันที เพื่อรับการดูแลที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงกลิ่นฉุน การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนเป็นวิธีสำคัญที่ช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการแพ้ท้องได้ค่ะ
แพ้ท้องอาจหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดกับคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ไม่ได้ แต่คุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยให้เติบโตแข็งแรงและมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ได้อย่างต่อเนื่องหลังคลอด ด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่ะ นมแม่ อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมอง โดยเฉพาะสารอาหารสำคัญอย่าง แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin) ที่ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ของลูกเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีจุลินทรีย์สุขภาพอย่าง B. lactis ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยแข็งแรงตั้งแต่แรกเกิดอีกด้วยค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- ผ่าคลอดประกันสังคมจ่ายเท่าไหร่ คุณพ่อคุณแม่มีสิทธิเบิกอะไรบ้าง
- โฟเลต คืออะไร อาหารที่มีโฟเลตสูงสำคัญกับคุณแม่ตั้งครรภ์แค่ไหน
- ฝากครรภ์ที่ไหนดี คุณแม่ฝากครรภ์ครั้งแรกมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
- คนท้องกินแตงโมได้ไหม อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า
- คนท้องกินเผ็ดได้ไหม อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า
อ้างอิง:
- แพ้ท้องอยู่ใช่ไหม ต้องทำอย่างไรมีคำตอบ, โรงพยาบาลเพชรเวช
- When does morning sickness start and end?, babycenter
- แพ้ท้อง คุณแม่ต้องพร้อมรับมือ, โรงพยาบาลกรุงเทพ
- Nausea and Vomiting of Pregnancy, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- อาการแพ้ท้อง วิธีรับมือกับอาการแพ้ท้องของคุณแม่, โรงพยาบาล MedPark
- Morning Sickness, Cleveland Clinic
- Suffering From Morning Sickness? These 15 Foods Can Fight Nausea During Pregnancy, Parents
- Morning Sickness Relief: 10 Superfoods To Help Fight Nausea During Pregnancy, Cocoon Hospital
- บีทรูท.. (Beetroot) ผักเพื่อสุขภาพ มากคุณค่า!!, โรงพยาบาบนนทเวช
- Why seven in ten women experience pregnancy sickness, University Of Cambridge
- Research finds GDF15 hormone linked to morning sickness, UCLA Health
- Severe vomiting in pregnancy, NHS
- อาการแพ้ท้องรุนแรง เป็นอันตรายต่อลูกน้อยและว่าที่คุณแม่อย่างไรบ้าง ?, BBC NEWS
- บทบาทพยาบาลในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะอาเจียนรุนแรง วารสารการพยาบาลและสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
อ้างอิง ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2568

คุณแม่ตั้งครรภ์

แม่ผ่าคลอด

ดูแลลูกตามช่วงวัย

ภูมิแพ้ในเด็ก

แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน

พัฒนาการสมองลูกน้อย

การขับถ่ายลูกน้อย

คุณแม่ให้นมบุตร

เครื่องมือตัวช่วยคุณแม่ท้อง พร้อมปฎิทินการตั้งครรภ์

อาหารเด็ก

S-Mom Club

วิดีโอแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

ข้อมูลผลิตภัณฑ์

โปรโมชัน



ความคิดเห็น